อิทธิพลในฐานะนักปฏิบัติการ ของ มุมมองทางการเมืองของโนม ชอมสกี

การต่อต้านสงครามเวียดนาม

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2510 ชอมสกีได้กลายเป็นผู้ต่อต้านสงครามเวียดนามที่เด่นที่สุดคนหนึ่งเมื่อพิมพ์เรียงความชื่อว่า "ภาระหน้าที่ของปัญญาชน (The Responsibility of Intellectuals)" ในนิตยสาร การวิจารณ์หนังสือของนิวยอร์ก (New York Review of Books) [96]นักเขียนผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า

โดยปี 2510 พวกหัวรุนแรง (คือผู้สนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างสุด ๆ) ก็หมกมุ่นอยู่กับสงครามและอัดอั้นตันใจเพราะไร้อิทธิพลเพื่อเปลี่ยนทิศทางของมัน

รัฐบาลก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะเหตุการประท้วง ประชาชนก็ไม่มีข้อมูลและไม่ไยดี และเทคโนโลยีอเมริกันก็กำลังทำลายเวียดนามให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วอะไรเล่า เป็นภาระหน้าที่ของพวกเขาโนม ชอมสกีสำรวจปัญหานี้ด้วยเรียงความเดือนกุมภาพันธ์ 2510 ใน New York Review ซึ่งได้กลายเป็นวารสารที่ชื่นชอบของพวกหัวรุนแรงชอมสกีกล่าวว่า เพราะเหตุการศึกษาและอิสรภาพทางเวลาของตน ปัญญาชนย่อมมีภาระหน้าที่มากกว่าประชาชนทั่วไปในเรื่องปฏิบัติการของรัฐเป็นหน้าที่เฉพาะของพวกเขา "เพื่อพูดความจริงและเปิดเผยเรื่องโกหก"ชอมสกีสรุปโดยอ้างเรียงความเขียนเมื่อ 20 ปีก่อนโดย ดไวท์ แม็คโดนัลด์ ที่แสดงนัยว่า ในยามวิกฤติ การเปิดเผยความเท็จก็ยังอาจไม่เพียงพอคือ แม็คโดนัลด์ได้เขียนไว้ว่า "เฉพาะบุคคลที่เต็มใจขัดขึนผู้มีอำนาจเอง เมื่อผู้มีอำนาจขัดกับศีลธรรมประจำตัวของตนอย่างรับไม่ได้ บุคคลเหล่านั้นเท่านั้นมีสิทธิประณามผู้อื่น"บทความของชอมสกีก็เริ่มรู้จักกันอย่างทันทีว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับปัญญาชนพร้อมกับนักศึกษาหัวรุนแรง ปัญญาชนหัวรุนแรงก็เริ่มเปลี่ยน "จากการประท้วงเป็นการขัดขืน"[97]

การตอบรับข้อความนี้ในช่วงเวลาเดียวกันมาจากศาสตราจารย์กิตติคุณสาขาปรัชญาของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เรเซียล เอเบียวล์สัน[98]

... การประณามที่ปลุกความรู้สึกทางศีลธรรมและให้เหตุผลอย่างทรงพลังของชอมสกี ต่อการรุกรานของอเมริกันในเวียดนามตลอดจนที่อื่น ๆ ทั่วโลก เป็นเอกสารทางการเมืองที่เร้าอารมณ์มากที่สุดที่ผมเคยได้อ่านตั้งแต่การเสียชีวิตของเลออน ทรอตสกี มันสร้างกำลังใจเมื่อเห็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องเสี่ยงทั้งเกียรติยศ เสี่ยงการได้ทุนจำนวนมากจากรัฐบาล และเสี่ยงชื่อเสียงของตน เพื่อความเป็นกลางเยี่ยงเทพโอลิมปัส โดยถือจุดยืนตรงกันข้ามที่ชัดเจนไร้ข้อจำกัด ในข้อพิพาททางศีลธรรม-การเมืองที่กำลังลุกช่วงในปัจจุบัน...

ชอมสกียังมีส่วนร่วมกับปฏิบัติการ "ขัดขืน" ซึ่งเขากล่าวถึงในเรียงความและจดหมายต่อ ๆ มาที่พิมพ์ใน New York Review of Books คือ[99]

  • ไม่จ่ายภาษีรายได้ครึ่งหนึ่ง
  • ร่วมเดินขบวนประท้วงที่เดอะเพนตากอนในปี 2510
  • ติดคุกคืนหนึ่ง[100]

ทัศนคติของชอมสกีต่างจากความเห็นต่อต้านสงครามเวียตนามทั่วไปซึ่งจัดสงครามเป็นความผิดพลาดที่น่าสลดใจคือเขาอ้างว่า สงครามจัดเป็นผลสำเร็จจากมุมมองของสหรัฐเพราะจุดหมายหลักของนโยบายสหรัฐก็เพื่อทำลายขบวนการชาตินิยมของคนชั้นล่างในเวียดนามโดยเฉพาะก็คือ เขาอ้างว่า การโจมตีของสหรัฐไม่ได้เริ่มด้วยการป้องกันเวียดนามใต้จากเวียดนามเหนือ แต่เริ่มด้วยการโจมตีโดยตรงตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 (โดยมีการแทรงแซงแบบลับ ๆ ตั้งแต่ทศวรรษ 1950) และโดยเบื้องต้น เป็นการโจมตีเวียดนามใต้แม้เขาจะเห็นด้วยกับนักประวัติศาสตร์ทั่วไปว่า รัฐบาลสหรัฐเป็นห่วงถึงความเป็นไปได้ของผลแบบโดมิโนในเอเชียอาคเนย์แต่จากจุดนี้ ชอมสกีก็จะเริ่มต่างจากความเห็นทั่วไป คือเขายืนยันว่า รัฐบาลสหรัฐไม่ได้กังวลเรื่องการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์และลัทธิอำนาจนิยม แต่เป็นห่วงเรื่องขบวนการชาตินิยมที่ไม่ยอมอ่อนข้อเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างเพียงพอ

ความสงสัยเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา

พวกคอมมิวนิสต์เขมรแดงขึ้นสู่อำนาจในกัมพูชาเดือนเมษายน 2518 แล้วขับไล่ชาวตะวันตกออกจากประเทศทั้งหมดแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับประเทศทั้งหมดจึงมาจากผู้ลี้ภัยไม่กี่พันคนที่หนีไปยังประเทศไทยและจากแถลงการณ์ทางการของรัฐบาลเขมรแดงโดยผู้ลี้ภัยได้เล่าเรื่องการสังหารหมู่ของเขมรแดงตลอดจนความอดอยากที่แพร่หลายแต่นักวิชาการฝ่ายซ้ายก็ชื่นชมสรรเสริญเขมรแดงและเชื่อเรื่องผู้ลี้ภัยเพียงแค่บางส่วน

ในเดือนกรกฎาคม 2521 ชอมสกีและผู้ร่วมงานก็เข้าสู่ประเด็นขัดแย้งนี้คือพวกเขาได้ทบทวนหนังสือ 3 เล่มเกี่ยวกับกัมพูชาเป็นหนังสือสองเล่มที่เขียนโดยนักข่าวและบาทหลวงคริสตังอาศัยการสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาแล้วสรุปว่า เขมรแดงได้สังหารหรือมีส่วนรับผิดชอบกับการตายของคนกัมพูชาเป็นแสน ๆ คนส่วนหนังสือเล่มที่สามเขียนโดยนักวิชาการ ผู้กล่าวถึงเขมรแดงด้วยความชื่นชม

ชอมสกีและผู้ร่วมงานเรียกหนังสือสองเล่มแรกว่าเป็น "การโฆษณาชวนเชื่อชั้นเลว" โดยเป็นส่วนของ "การรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อที่ยิ่งใหญ่แบบไม่เคยมีมาก่อน" เพื่อต่อต้านเขมรแดงเขากล่าวว่า หนังสือเล่มที่สองนั้นน่าอ่านแต่เชื่อถือไม่ได้ชอมสกีกล่าวว่า เรื่องความโหดร้ายของเขมรแดงจากผู้ลี้ภัยควรพิจารณาอย่างระมัดระวังเพราะว่าไม่มีการตรวจสอบที่เป็นอิสระอื่น ๆโดยเทียบกันแล้ว ชอมสกีชอบใจหนังสือเล่มที่สามมาก ซึ่งแสดงกัมพูชาใต้การปกครองของเขมรแดงว่าเป็น "ทัศนียภาพแบบชนบท"เขาได้ให้ความเห็นว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานของหนังสือเล่มที่สามดีกว่าหนังสือเล่มที่สอง แม้ว่า หนังสือเล่มที่สามจะอ้างอิงเอกสารของเขมรแดงเกือบทั้งหมด ส่วนหนังสือเล่มที่สองอ้างอิงการคุยกับผู้ลี้ภัยกัมพูชา[101]

ชอมสกีและเพื่อนร่วมงานต่อมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับกัมพูชาชื่อว่า หลังหายนะ (After the Cataclysm) (2522) ซึ่งพิมพ์หลังจากที่เขมรแดงหมดอำนาจแล้วนักวิชาการกัมพูชาชาวอเมริกัน-กัมพูชาที่เป็นผู้ลี้ภัยด้วยกล่าวว่า "เป็นหนังสือที่สนับสนุนการปฏิวัติของเขมรมากที่สุดเล่มหนึ่ง" ที่ผู้เขียนสองท่าน "ประพฤติเท่ากับป้องกันเขมรแดงโดยซ่อนอยู่ภายใต้การโจมตีสื่อ"[102]ในหนังสือของชอมสกี พวกเขายอมรับว่า "บันทึกความโหดร้ายในกัมพูชามีแก่นสารและบ่อยครั้งน่าสยดสยอง" แต่ตั้งข้อสงสัยในจำนวน ซึ่งเชื่อว่า อาจขยาย "เป็น 100 เท่า"เพราะนโยบายการเกษตรของเขมรแดงได้มีรายงานว่าได้ผลที่ "น่าตื่นตา"[103]

แต่ผิดจากชอมสกีและเพื่อนร่วมงาน รายงานความโหดร้ายของเขมรแดงและความอดอยากอย่างไม่น่าเชื่อในกัมพูชาพิสูจน์แล้วว่าแม่นยำโดยไม่ได้เฟ้อแม้ว่าผู้ปฏิเสธหรือสงสัยการสังหารหมู่ในกัมพูชาต่อมาจะถอนคำพูดเดิม แต่ชอมสกีก็ยังยืนยันว่า การวิเคราะห์เรื่องกัมพูชาของเขาไม่ได้ผิดพลาดโดยอาศัยข้อมูลที่เขามีในตอนนั้น[104]ส่วนผู้ร่วมงานของเขาได้ตอบโต้กับผู้วิพากษ์วิจารณ์ในปี 2544 ว่า "ชอมสกีและผมพบว่า การถามคำถามเกี่ยวกับ...ผู้ประสบเคราะห์ในระหว่างการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านเขมรแดงระหว่างปี 2518-2522 เพียงแค่นั้น ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และถูกปฏิบัติโดยแทบไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็น 'การแก้ตัวให้แก่พล พต'"[105]

นักวิชาการกัมพูชาผู้ลี้ภัยดังกล่าวได้ตำหนิการสนับสนุนเขมรแดงของชอมสกีว่า "ในขณะที่ครอบครัวของผมต้องทำนาและเสียชีวิตในนาข้าว ชอมสกีได้ลับคมทฤษฎีและปรับปรุงข้อโต้แย้งของเขา โดยนั่งอยู่ในเก้าอี้มีเท้าแขนในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ผมเชื่อว่าเขาน่าจะให้ผมโทษคนอเมริกันและระเบิดของพวกเขา ที่ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขมรแดงให้ออกนอกลู่นอกทาง... บางทีวันหนึ่ง ชอมสกีจะยอมรับ 'ความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ' ในบันทึกความจำของเขา โดยกล่าวถึงภาระหนักของนักวิชาการและการเยาะเย้ยชะตากรรมที่น่าสลดใจของประวัติศาสตร์แต่เหยื่อของเขา คือคนชั้นล่างในอินโดจีน จะไม่ได้เขียนบันทึกความจำและจะถูกลืมไปโดยรวมเข้ากับเหยื่อชาวเกาหลีเหนือและบอสเนียของเขาเป็นทศวรรษ ๆ แล้ว ที่ชอมสกีได้ประณามผู้ตำหนิเขาโดยวิธีที่นักภาษาศาสตร์ระดับโลกเท่านั้นจะสามารถแต่ว่า สำหรับผมและสมาชิกครอบครัวผมที่รอดชีวิตมาได้ คำถามเรื่องชีวิตใต้อำนาจของเขมรแดงไม่ใช่เป็นเพียงแค่กีฬาในร่มที่เป็นไปตามสติปัญญา"[106]

ติมอร์ตะวันออก

ในปี 2518 กองทัพบกอินโดนีเซียภายใต้บังคับบัญชาของประธานาธิบดีซูฮาร์โต ได้บุกเข้าไปในติมอร์ตะวันออก โดยยึดครองอยู่จนถึงปี 2542 และมีผลให้ของคนติมอร์ตะวันออกประมาณ 80,000-200,000 คนเสียชีวิต[107](รายงานละเอียดทางสถิติที่ทำเพื่อคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองในติมอร์ตะวันออก ต่อมาอ้างจำนวนที่ต่ำกว่าคือการเสียชีวิตเกี่ยวกับสงครามในช่วงปี 2517-2542 ที่ 102,800 คน โดยมีคน 18,600 ถูกสังหาร และ 84,200 คนที่เสียชีวิตเพราะความเจ็บป่วยและอดอยาก)[107]โดยตัวเลขแรกพิจารณาว่า "เทียบสัดส่วนได้" กับการสังหารหมู่ในกัมพูชา แม้ว่าการเสียชีวิตทั้งหมดในกัมพูชาจะมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้[108]

ชอมสกีอ้างว่า การสนับสนุนทางการทหาร ทางการเงิน และทางการทูตอันสร้างชัยชนะอย่างขาดลอยที่ได้ให้ต่อรัฐบาลซูฮาร์โต มาจากรัฐบาลสหรัฐต่อ ๆ กันเริ่มต้นจากประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด ผู้พร้อมกับเลขาธิการกระทรวงต่างประเทศเฮนรี คิสซินเจอร์ ได้เปิด "ไฟเขียว" ต่อการรุกรานโดยก่อนหน้านั้น สหรัฐได้เป็นผู้จัดส่งอาวุธให้กับกองทัพบกอินโดนีเซียถึง 90% และ "โดยปี 2520 อินโดนีเซียก็ได้พบว่าตนขาดอาวุธ อันเป็นตัวบ่งชี้ขนาดการโจมตีรัฐบาลของคาร์เตอร์ (2520-2524) จึงได้เร่งการส่งอาวุธให้(ต่อมา) อังกฤษจึงเข้าร่วมวงเมื่อความโหดเหี้ยมถึงจุดยอดในปี 2521 ในขณะที่ฝรั่งเศสประกาศว่า ตนจะขายอาวุธให้อินโดนีเซียและป้องกันอินโดนีเซียไม่ให้ 'เรื่องน่าอาย' ปรากฏต่อสาธารณชนประเทศอื่น ๆ ดัวย ก็ได้หาวิธีได้กำไรจากการเข่นฆ่าและการทรมานคนติมอร์"[109]โดยเหตุการณ์หายนะทางมนุษยธรรมนี้ ประชาคมโลกมองแทบไม่เห็น[110]

ชอมสกีได้พยายามเพิ่มความสำนึกต่อวิกฤติการณ์ตั้งแต่ต้น ๆ[111]ในเดือนพฤศจิกายน 2521 และตุลาคม 2522 ชอมสกีได้แถลงการณ์ต่อหน้าคณะกรรมการของ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมในติมอร์ตะวันออกและการไร้การสื่อข่าว[112]

ในปี 2542 เมื่อชัดเจนว่าคนติมอร์ส่วนใหญ่จะลงคะแนนเพื่อเอกราชในการลงประชามติที่สนับสนุนโดยสหประชาชาติ กองทัพและกลุ่มกำลังกึ่งทหารของอินโดนีเซียก็โต้ตอบโดยพยายามข่มขวัญประชาชนในช่วงนี้ ชอมสกีเลือกที่จะเตือนคนอเมริกันด้วยเหตุผล 3 อย่างที่เขารู้สึกว่า คนอเมริกันพึงห่วงใยในเรื่องติมอร์ตะวันออก

เบื้องต้น ตั้งแต่การรุกรานเดือนธันวาคม 2518 ของอินโดนีเซีย ติมอร์ตะวันออกได้เป็นที่เกิดความโหดเหี้ยมที่เลวร้ายที่สุดในยุคปัจจุบัน เป็นความโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นอีก ณ บัดนี้ สอง รัฐบาลสหรัฐได้มีบทบาทเป็นตัวตัดสินในการเพิ่มความโหดเหี้ยมเหล่านี้ และสามารถทำการง่าย ๆ เพื่อบรรเทาหรือยุติมันโดยไม่จำเป็นต้องทิ้งระเบิดที่กรุงจาการ์ตาหรือคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ตลอดเหตุการณ์นี้ ถ้าวอชิงตันเพียงถอนการสนับสนุนและบอกลูกน้องอินโดนีเซียว่าเกมโอเว่อร์แล้ว นั่นก็จะเพียงพอแล้ว ซึ่งก็ยังเป็นจริงเมื่อสถานการณ์กำลังถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ อันเป็นเหตุผลที่สาม[113]

อาทิตย์ต่อ ๆ มา หลังจากการลงคะแนนเพื่อเอกราช กองทัพอินโดนีเซียก็ได้ขับไล่ "คนเป็นแสน ๆ จากบ้าน โดยทำลายส่วนมากของประเทศและเป็นครั้งแรกที่ความโหดร้ายเผยแพร่เป็นอย่างดีในสหรัฐ"[114]

นักประวัติศาสตร์ชาวออสเตรเลียคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า

เมื่ออินโดนีเซียเข้ารุกรานติมอร์ตะวันออกพร้อมกับการสนับสนุนของสหรัฐในปี 2518 ชอมสกีได้เข้าร่วมกับนักปฏิบัติการอื่น ๆ ในการรณรงค์อย่างไม่ย่อท้อโดยเป็นความสามัคคีระหว่างนานาประเทศ ปาฐกถาและวรรณกรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ของเขา ทั้งมากมายและมีคนอ่านมาก แต่ว่าการช่วยเหลือทางการเงินของเขามีคนรู้น้อยกว่า เมื่อสื่อสหรัฐปฏิเสธไม่สัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยชาวติมอร์โดยอ้างว่าไม่สามารถเข้าถึงบุคคลเหล่านั้นได้ ชอมสกีก็ได้ออกเงินส่วนตัวจ่ายค่าเครื่องบินของผู้ลี้ภัยหลายคน นำพวกเขาจากกรุงลิสบอนมายังสหรัฐ และได้พยายามพาพวกเขาเข้าไปยังสำนักงานบรรณาธิการของเดอะนิวยอร์กไทมส์ และสำนักงานสื่ออื่น ๆ การช่วยเหลือทางการเงินของเขาเพื่อหลักการเช่นนี้ไม่มีใครเห็น เนื่องจากการไม่พูดของเขาเอง

นักปฏิบัติการกรณีติมอร์คนหนึ่งได้กล่าวว่า "พวกเราได้เรียนรู้ว่า ปัจจัยชอมสกีกับติมอร์ตะวันออกเป็นพันธมิตรที่ขลัง" และ "พิสูจน์แล้วว่า มีอำนาจเหนือกว่าบุคคลที่พยายามเอาชนะเรา"[115]

เมื่ออยู่ต่อหน้าคณะกรรมาธิการไต่สวนพิเศษอิสระเกี่ยวกับติมอร์-เลสเตแห่งสหประชาชาติ ซึ่งต่อมาพิมพ์รายงานสำคัญในปี 2549[116]นักปฏิบัติการอเมริกันผู้สำคัญอย่างขาดไม่ได้ (Arnold Kohen) ในการสร้างความสำนึกให้คนตะวันตกเกี่ยวกับเหตุการณ์หายนะเริ่มตั้งแต่ปี 2518 ได้ให้การว่า

คำของชอมสกีในเรื่องนี้มีอิทธิพลจริง ๆ บางครั้งโดยอ้อม และประวัติศาสตร์ควรบันทึกมันไว้ เพราะว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากในการช่วยเปลี่ยนภาวะความบอดมืดอันกว้างขวางเกี่ยวกับติมอร์ตะวันออก ที่มีทั้งในสหรัฐอเมริกาและที่อื่น ๆ ในเวลานั้น[117]

เมื่อฌูแซ รามุช-ออร์ตาและหัวหน้าบาทหลวงการ์ลุช ฟีลีปึ ชีเมนึช เบลู ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2539 ชอมสกีตอบรับว่า "นั่นดีมาก นั่นเป็นเรื่องที่ดี ผมได้เจอกับฌูแซ รามุช-ออร์ตา ในเซาเปาลู (ประเทศบราซิล) ผมยังไม่เห็นปาฐกถาทางการของเขา แต่แน่นอนที่เขาจะพูดต่อหน้าสาธารณชนว่า รางวัลควรให้กับชานานา กุฌเมา ผู้เป็นผู้นำกาต่อต้านการรุกรานของอินโดนีเซีย (บัดนี้) เขาอยู่ในคุกอินโดนีเซีย แต่ว่า การยอมรับการต่อสู้ดิ้นรนนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก หรือว่าจะกลายเป็นเรื่องสำคัญถ้าเราสามารถทำมันให้เกิดประโยชน์"[118]

สำนักพิมพ์กับศาลตุรกี

ในปี 2545 ตุรกีดำเนินคดีกับผู้พิมพ์หนังสือชาวตุรกี Fatih Tas เพราะเผยแพร่รวมเรียงความของชอมสกีภายใต้ชื่อว่า การแทรกแซงของอเมริกัน (American Intervention)โดยอ้างว่า หนังสือ "โปรโหมตการแบ่งแยกดินแดน" และละเมิดมาตรา 8 ของกฎหมายต่อต้านก่อการร้ายของตุรกี[119]เรียงความบทหนึ่งในหนังสือเป็นการพิมพ์ซ้ำปาฐกถาที่ชอมสกีให้ในเมืองโทเลโด รัฐโอไฮโอ ที่มีการอ้างว่า ตุรกีกดขี่ประชาชนชาวเคิร์ดอย่างเหี้ยมโหดอัยการได้อ้างคำพูดต่อไปนี้ว่า มีโทษเป็นพิเศษ

ในปี 2527 รัฐบาลตุรกีได้เริ่มปฏิบัติการสงครามใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อประชาชนชาวเคิร์ด แล้วดำเนินต่อไป จริง ๆ ก็ยังดำเนินอยู่

ถ้าเราตรวจดูความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐต่อตุรกี ซึ่งปกติจะเป็นดัชนีแสดงนโยบายเป็นอย่างดี แน่นอนว่าตุรกีเป็นพันธมิตรที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ ดังนั้น จึงได้รับการช่วยเหลือทางทหารค่อนข้างมากอย่างเสมอ ๆ แต่ว่า ความช่วยเหลือได้พุ่งขึ้นในปี 2527 ในเวลาเดียวกับที่สงครามต่อต้านกองโจร/กบฏก็เริ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า นี่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามเย็น (เพราะ) มันเป็นสงครามต่อต้านกองโจร ความช่วยเหลือก็ดำรงอยู่ในระดับสูงโดยถึงจุดยอดในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 เมื่อความโหดร้ายเพิ่มขึ้น ปีจุดยอดคือปี 2540 (และ) จริง ๆ แล้ว ในปี 2540 ปีเดียว ความช่วยเหลือทางทหารที่ให้แก่ตุรกีนั้น มากกว่าช่วง 2493-2526 ทั้งหมดซึ่งเป็นระยะที่อ้างว่า มีปัญหาสงครามเย็น ผลตอนจบน่ากลัวมาก คนเป็นหมื่นถูกสังหาร มีผู้ลี้ภัยเป็น 2-3 ล้านคน มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่โดยมีหมู่บ้าน 3,500 หมู่บ้านถูกทำลาย ซึ่งเป็น 7 เท่าของคอซอวอเมื่อนาโต้กำลังทิ้งระเบิด และก็ไม่มีใครมาทิ้งละเบิดในกรณีนี้ ยกเว้นกองทัพอากาศตุรกีผู้ใช้เครื่องบินที่คลินตันส่งไปให้โดยรู้อย่างแน่นอนว่า เครื่องบินจะใช้กันอย่างไร[120]

เพราะการขอร้องของนักปฏิบัติการชาวตุรกี ชอมสกีได้ร้องให้ศาลตุรกีกำหนดเขาเป็นจำเลยร่วมแล้วให้การในศาลที่กรุงอิสตันบูลในปี 2545ศาลต่อมาจึงยกฟ้องผู้พิมพ์หนังสือหลังจากการพิจารณาคดี บริษัท BBC รายงานคำพูดของผู้พิมพ์หนังสือว่า "ถ้าชอมสกีไม่ได้อยู่ที่นั่น เราคงจะหวังการตัดสินเช่นนี้ไม่ได้"[121]

ในขณะที่ชอมสกีอยู่ในตุรกีเพื่อการพิจารณาคดี เขาได้เดินทางไปที่เมือง Diyarbakır ทางทิศใต้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงโดยปริยายของชนชาวเคิร์ดในตุรกี ที่เขาได้ให้ปาฐกถาที่สร้างความขัดแย้ง คือกระตุ้นให้ชาวเคิร์ดก่อตั้งชุมชนที่มีอิสรภาพในการปกครองตนเอง[122]และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้อัดเสียงและคำแปลของปาฐกถาส่งให้ศาลตุรกีเพื่อการสอบสวนภายในอีกไม่กี่วันต่อมา[123]

ในเดือนมิถุนายน 2549 ผู้พิมพ์หนังสือ Tas ก็ถูกดำเนินคดีอีก พร้อมกับบรรณาธิการสองคนและผู้แปลอีกคนหนึ่ง เพราะพิมพ์หนังสือของชอมสกีแปลเป็นภาษาตุรกี คือ การผลิตความยินยอม (Manufacturing Consent)จำเลยถูกฟ้องโดยใช้มาตรา 216 และ 301 ของประมวลกฎหมายอาญาตุรกี ในฐาน "สร้างความอัปยศต่อความเป็นคนตุรกี ต่อสาธารณรัฐ และต่อรัฐสภา ต่อหน้าธารกำนัญ" และ "ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและความเป็นศัตรูในหมู่ชน"[124]ศาลไม่อนุญาตให้ผู้เขียนให้การในนามของจำเลยในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ศาลก็ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ผู้พิมพ์หนังสือก็ยังมีคดีอีกหลายเรื่องเนื่องจากการพิมพ์หนังสืออื่น ๆ

ในปี 2546 ในนิตยสาร New Humanist ชอมสกีได้เขียนเกี่ยวกับการปราบปรามเสรีภาพทางการพูดในตุรกีและ

ความกล้าหาญและการอุทิศตนของนักศิลป์ นักเขียน นักวิชาการ นักข่าว ผู้จัดพิมพ์หนังสือ และบุคคลอื่น ๆ ในแนวหน้า ผู้ดำเนินการดิ้นรนต่อสู้วันต่อวันเพื่อเสรีภาพทางการพูดและสิทธิมนุษยชน โดยไม่ใช่เพียงแค่ด้วยคำพูดแต่ด้วยปฏิบัติการขัดขืนกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมเป็นประจำ และบางคนต้องใช้ชีวิตเป็นเวลาไม่ใช่น้อยในคุกตุรกี เพราะความยืนกรานของพวกเขาที่จะบันทึกประวัติความจริงของประชาชนชาวเคิร์ดที่ถูกกดขี่อย่างทารุณ[125]

การไม่ได้ความสำคัญจากสื่อกระแสหลัก

ชอมสกีปรากฏตัวน้อยมากในสื่อข่าวยอดนิยมในสหรัฐ เช่น สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น, นิตยสารไทม์, นิตยสาร Foreign Policy และอื่น ๆ แต่ว่า เล็กเช่อร์ที่อัดไว้ของเขามักจะเล่นเป็นปกติที่สถานีวิทยุสาธารณะแห่งชาติ (NPR) ในสหรัฐอเมริกา ที่รับออกอากาศเล็กเช่อร์แบบหัวก้าวหน้าผู้ค้านชอมสกีอ้างว่า การรายงานข่าวของสื่อกระแสหลักเพียงพอ (ในประเด็นนั้น ๆ) แล้ว และเป็นเรื่องไม่แปลกเมื่อพิจารณาว่า นักวิชาการโดยทั่วไปบ่อยครั้งไม่ได้รับความสำคัญจากสื่ออเมริกัน

ส่วนนักข่าวทีวีของซีเอ็นเอ็นคนหนึ่ง (เจ็ฟฟ์ กรีนฟีลด์) เมื่อถามว่าทำไมชอมสกีจึงไม่เคยออกโชว์กับเขา เขาก็อ้างว่า ชอมสกีอาจ "เป็นปัญญาชนชั้นนำคนหนึ่งที่ไม่สามารถพูดออกโทรทัศน์ […] (คือ) ถ้าคุณมีโชว์ยาวแค่ 22 นาที แต่ว่าคน ๆ นั้นต้องใช้เวลา 5 นาทีเพื่ออุ่นเครื่อง […] เราก็จะใช้เขาไม่ได้"[126]กรีนฟิลด์ได้อธิบายถึงความจำเป็นต้องสามารถกล่าวเรื่องในช่วงระหว่างการโฆษณา ซึ่งสำหรับสื่อ นี่เป็นข้อกำหนดความสั้นกระชับของเรื่องส่วนชอมสกีได้อธิบายรายละเอียดในเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า

ความงดงามของความสั้นกระชับก็คือคุณสามารถเพียงแต่กล่าวซ้ำความคิดในกรอบ (คือ) ถ้าคุณกล่าวซ้ำความคิดในกรอบ คุณไม่ต้องมีหลักฐานอะไร เช่น การกล่าวว่าอุซามะฮ์ บิน ลาดิน เป็นคนไม่ดี ไม่ต้องใช้หลักฐานอะไร แต่ถ้าคุณกล่าวอะไรที่เป็นจริง แต่ไม่ใช่ความจริงในกรอบ เช่น สหรัฐอเมริกาได้โจมตีเวียดนามใต้ ผู้ฟังโดยชอบธรรมก็จะต้องการหลักฐาน และเป็นหลักฐานจำนวนมาก ซึ่งพวกเขาควรต้องการ รูปแบบของโชว์ไม่ยอมให้แสดงหลักฐานเช่นนี้ ซึ่งเป็นเหตุที่ความสั้นกระชับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

เขากล่าวต่อไปว่า ถ้าสื่อจะเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อที่ดีกว่า ก็ควรเชิญคนที่มีความคิดต่างจากสื่อให้พูดบ่อยขึ้น เพราะว่า เวลาที่จำกัดจะหยุดพวกเขาไม่ให้สามารถอธิบายความเห็นสุดโต่งได้อย่างสมควร และพวกเขา "ก็จะฟังดูเหมือนมาจากดาวเนปจูน"เพราะเหตุนี้ ชอมสกีจึงปฏิเสธไม่รับออกทีวีโดยมาก โดยชอบใจสื่อการเขียนมากกว่า

ตั้งแต่หนังสือ 9-11 ของเขาได้กลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดเล่มหนึ่งหลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ชอมสกีก็ได้ความสนใจเพิ่มขึ้นจากสื่อกระแสหลักอเมริกันยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ได้พิมพ์บทความหนึ่งในเดือนพฤษภาคม 2545 ถึงความนิยมของ 9-11[127]ในเดือนมกราคม 2547 นิตยสารไทม์ได้พิมพ์บทความปริทัศน์ที่ตำหนิหนังสือ ความเป็นเจ้าโลกหรือความอยู่รอด (Hegemony or Survival) ของชอมสกีอย่างรุนแรง[128]และในเดือนกุมภาพันธ์ติดต่อกัน ไทม์ก็ได้พิมพ์ความเห็นของชอมสกีเอง ซึ่งตำหนิกำแพงกั้นเวสต์แบงก์ของอิสราเอลเพราะยึดใช้พื้นที่ของปาเลสไตน์[129]

ทฤษฎีสมคบคิด 9/11

ชอมสกีได้ปฏิเสธทฤษฎีสมคบคิด 9/11 โดยกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อสนับสนุนข้ออ้างว่ารัฐบาลสหรัฐเป็นผู้โจมตี

ผมคิดว่า รัฐบาลของบุชจะต้องวิกลจริตโดยสิ้นเชิงถ้าได้พยายามทำสิ่งที่อ้าง เพื่อผลประโยชน์อันแคบ ๆ ของตน และผมไม่คิดว่ามีการให้หลักฐานที่หนักแน่นเพื่อสนับสนุนข้ออ้าง เกี่ยวกับปฏิบัติการที่ไม่เพียงแค่แปลกประหลาดโดยตัวเองแล้ว แต่ว่ายังไม่มีอะไรเหมือนเลยในประวัติศาสตร์

อีกประการหนึ่ง ชอมสกีได้กล่าวว่า เขาจะไม่แปลกใจเลยถ้าสถาบันของรัฐบาลเป็นผู้เติมเชื้อเพลิงให้กับทฤษฎีสมคบคิด เพื่อเบนความสนใจของประชาชนไปจากเรื่องที่เร่งรัดมากกว่า

บุคคล (ผู้เชื่อทฤษฎีสมคบคิด) ถามอยู่เสมอ ๆ ว่า 'ฉันสามารถทำอะไรได้' แล้วก็จะบอกว่า นี่เป็นสิ่งที่ฉันทำได้ ฉันสามารถเป็นวิศวกรโยธาทรงคุณสมบัติภายในหนึ่ง ชม. แล้วพิสูจน์ว่าบุชได้ระเบิดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ผมเกือบจะมั่นใจเลยว่า ในกรุงวอชิงตัน พวกเขาต้องกำลังปรบมือกัน เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมพบโดยบังเอิญเอกสารของเพนตากอนเกี่ยวกับขั้นตอนการนำข้อมูลออกจากการจัดว่าเป็นความลับ ในบรรดาเรื่องต่าง ๆ มีข้อเสนอว่าให้รัฐบาลนำข้อมูลออกจากการจัดเป็นความลับเป็นระยะ ๆ ในเรื่องการลอบสังหารจอห์น เอฟ. เคนเนดี ให้คนพยายามสืบรอยว่า เคนเนดีถูกสังหารโดยพวกมาเฟียหรือไม่ เพื่อให้นักปฏิบัติการค้นหาอะไรอย่างไม่มีทางสำเร็จ แทนที่จะติดตามปัญหาจริง ๆ หรือพยายามรวบรวมสมัครพรรคพวก ผมจะไม่รู้สึกช็อคเลยถ้า 30 ปีต่อไปจากนี้ เราจะพบบันทึกที่นำออกจากการจัดเป็นความลับว่า ทฤษฎีสมคบคิด 9/11 เป็นอะไรที่คอยเติมเชื้อเพลิงโดยรัฐบาล (ของบุช)[130]

ผู้สนใจทั่วโลก

ชอมสกีในกรุงปารีส 29 พฤษภาคม 2553

แม้สื่อกระแสหลักในสหรัฐจะไม่ให้ความสำคัญ ชอมสกีก็ยังเป็นคนมีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในโลกในการเมืองฝ่ายซ้ายโดยเฉพาะในบรรดานักวิชาการและนักศึกษามหาวิทยาลัย และบ่อยครั้งเดินทางไปทั่วสหรัฐ ยุโรป และประเทศโลกที่สามเขามีคนติดตามสนับสนุนเป็นจำนวนมากทั่วโลก มีตารางการพูดที่แน่นขนัด และสามารถดึงผู้ฟังเป็นจำนวนมากทุกแห่งที่ไปมีการจองตัวล่วงหน้าบ่อยครั้งถึง 2 ปี

เขาเป็นผู้ให้ปาฐกถาหลักคนหนึ่งที่ประชาคมสังคมโลก (World Social Forum) ปี 2545เขามักจะให้สัมภาษณ์เป็นช่วงยาวในสื่อทางเลือก[131]หนังสือหลายเล่มของเขามียอดขายดีที่สุด รวมทั้ง 9-11[127]ภาพยนตร์ การผลิตความยินยอม (Manufacturing Consent) ปี 2535 ได้เผยแพร่ในเขตวิทยาลัยและสถานีพีบีเอ็สต่าง ๆ อย่างกว้างขวางเป็นสารคดีที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์สารคดีผลิตในแคนาดา[132]

ความนิยมของเขาได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมโบโนของวงดนตรียูทูเรียกชอมสกีว่า "กบฏที่ไร้การหยุดพัก เอลวิสของนักวิชาการ"วงดนตรีเรจอะเกนสต์เดอะแมชชีนนำหนังสือของเขาออกทัวร์พร้อมกับวงวงเพิร์ลแจมกระจายเสียงจากสถานีวิทยุที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และเปิดการพูดของชอมสกีประกอบกับดนตรีของตนวงอาร์.อี.เอ็ม.ได้ขอให้ชอมสกีออกทัวร์พร้อมกับวงโดยให้เปิดคอนเสิร์ตด้วยเล็กเช่อร์ (ซึ่งเขาปฏิเสธ)วงเรดิโอเฮดแนะนำผลงานของชอมสกีในเว็บไซต์ต่าง ๆ ของตน โดยมีนักร้องทอม ยอร์ก เป็นผู้ชื่นชอบเป็นพิเศษ[ต้องการอ้างอิง]เล็กเชอร์ของชอมสกีมักจะรวมเป็นแทร็กพิเศษของวงดนตรีต่าง ๆ รวมทั้ง Chumbawamba[133]

นักปฏิบัติการต่อต้านโลกาภิวัตน์และต่อต้านสงครามมองชอมสกีว่าเป็นแรงดลใจ[ต้องการอ้างอิง]ชอมสกีมีผู้อ่านจำนวนมากนอกสหรัฐอเมริกาหนังสือ 9-11 ได้จัดพิมพ์ในประเทศ 26 ประเทศ แปลเป็นภาษา 23 ภาษา[134]เป็นหนังสือที่มียอดขายสูงสุดในประเทศอย่างน้อย 5 ประเทศ รวมทั้งแคนาดาและญี่ปุ่น[127]ทัศนคติของชอมสกีมักจะเผยแพร่ตามเครือข่ายสื่อสาธารณะทั่วโลก เทียบได้อย่างโดดเด่นกับการไม่ค่อยเผยแพร่ในสื่อสหรัฐยกตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร เขาจะปรากฏตัวเป็นครั้งคราวตามสถานี BBC[135]

ประธานาธิบดีของเวเนซุเอลา อูโก ชาเบซ ปรากฏเป็นผู้ชื่นชอบหนังสือของชอมสกีเขาได้ชูหนังสือ ความเป็นเจ้าโลกหรือการอยู่รอด (Hegemony or Survival) ของชอมสกี เมื่อให้ปาฐกถาต่อหน้าสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายน 2549

แหล่งที่มา

WikiPedia: มุมมองทางการเมืองของโนม ชอมสกี http://argumentsworthhaving.com/2014/03/09/cambodi... http://www.brightestyoungthings.com/articles/the-s... http://www.columbiaspectator.com/2009/12/04/chomsk... http://video.google.com/videoplay?docid=2414558054... http://video.google.com/videoplay?docid=5730066521... http://www.heebmagazine.com/articles/view/54 http://www.huffingtonpost.com/2010/05/17/noam-chom... http://www.imdb.com/name/nm0159008/ http://www.montrealmirror.com/2005/102005/watn8.ht... http://www.nybooks.com/articles/10869